วันเสาร์ที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

นอนอย่างไรไม่ให้ปวดเหมื่อย

นอนอย่างไร ไม่ปวด-ไม่เมื่อย

บ่อยครั้งหลังตื่นนอนแล้วลุกขึ้นจากเตียง หลายคนมักรู้สึกปวดเมื่อยบริเวณคอและหลัง สาเหตุส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะนอนในท่าที่ไม่เหมาะสม ซึ่งเคล็ดลับในการแก้ไขก็เพียงแค่นอนในอิริยาบถที่ถูกที่ควรย่อมช่วยบรรเทาได้
นอนอย่างไร ไม่ปวด-ไม่เมื่อย
อย่างท่านอนหงาย ที่เหมาะสมคือ นอนหนุนหมอนที่ไม่สูงหรือต่ำเกินไป ตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าไม่คดงอ กระจายน้ำหนักไปให้ทั่วตัว เคล็ดลับลดความเสี่ยงอาการปวดหลังอยู่ที่การนำหมอนใบพอเหมาะหรืออาจใช้ผ้ารองไว้ใต้เข่า ช่วยให้บั้นเอวไม่แอ่นขึ้น ลดโอกาสการปวดหลังได้

ขณะที่ท่านอนตะแคง ควรป้องกันลำตัวบิดด้วยการใช้หมอนข้างหรือหมอนรองลำตัวช่วงแขนและขาเอาไว้ ซึ่งก็คือการนอนกอดหมอนข้างนั่นเอง ทั้งนี้ควรนอนตะแคงด้านขวาจะไม่รบกวนการทำงานของหัวใจ

นอนมาตั้งหลายชั่วโมง ตอนตื่นจะลุกขึ้นจากเตียงก็เป็นช่วงที่สำคัญ ควรลุกออกมาจากท่านอนตะแคงแล้วค่อยๆ ใช้มือพยุงลำตัวให้ยกขึ้น นั่งพักสักครู่แล้วจึงลุกยืน

นอกจากนี้ยังมีคำแนะนำในการเลือกที่นอนให้เหมาะกับน้ำหนักตัว สำหรับคนที่น้ำหนักตัวมาก ควรนอนบนที่นอนแข็ง ป้องกันสะโพกจมที่นอนทำให้บั้นเอวแอ่นและปวดหลัง ส่วนคนที่น้ำหนักตัวอยู่ในเกณฑ์เหมาะสมและคนน้ำหนักน้อย สามารถนอนบนที่นอนนุ่มหรือแข็งก็ได้ เนื่องจากการกระจายน้ำหนักตัวไม่เป็นปัญหา.

ที่มาข้อมูล : หนังสือพิมพ์เดลินิวส์
 

วันเสาร์ที่ 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

สุขภาพดี ต้องดูแลด้วยตัวเองเท่านั้น

ขอยกคำพูดของคุณหมอพันธ์ศักดิ์ ศุกระฤกษ์มาแนะนำค่ะ
ด้วยมีสมาชิกชมรมฯ  ได้ไปฟังการบรรยายพิเศษของ คุณหมอพันธ์ศักดิ์  ศุกระฤกษ์ เห็นว่าดีมีประโยชน์ จึงสรุปส่งเนื้อหามาให้ผู้เขียนอ่าน  ผู้เขียนเห็นว่า น่าจะเป็นประโยชน์แก่ผู้อื่นด้วย   ผู้เขียนจึงเรียบเรียงเนื้อหาให้กระชับชัดเจนมากขึ้น  ขอเชิญท่านหาความรู้จากบทความเรื่องนี้ได้ค่ะ
1.      ดุลยภาพแห่งชีวิต  คือความสมดุลของชีวิต ย่อมมีทั้งชีวิตการงาน ชีวิตส่วนตัว ชีวิตในสังคม ชีวิตครอบครัว และสุขภาพ  แต่ที่สำคัญที่สุด  คือ สุขภาพ  ถ้าสุขภาพเสียทุกสิ่งก็สูญสลาย
2.      การแพทย์วิถีธรรมชาติ  อาจารย์หมอพันธ์ศักดิ์ฯ ในอดีตต้องทำงานหนักทั้งงานราชการ คลีนิค และครอบครัว ต้องตื่นตีห้าและเข้านอนห้าทุ่มล่วงเลยไปแล้ว  ส่งผลให้เกิดโรคเครียด  โรคกระเพาะอาหาร  โรคภูมิแพ้ และความจำไม่ดี พออายุ 40 ปี จึงตัดสินใจลาออกจากราชการ แล้วไปเรียนการแพทย์วิถีธรรมชาติจากออสเตรเลีย นับจากนั้นมา อาจารย์หมอพันธ์ศักดิ์ฯ ไม่เคยเจ็บป่วยอีกเลย ปัจจุบันอาจารย์มีความสุขมาก ๆ และหน้าตาดูดีกว่าเมื่อ 10 ปีที่แล้วมาก
3.      ทำอย่างไรให้สุขภาพดีไม่เจ็บป่วย
    3.1   สุขภาพ คือภาพแห่งความสุข ร่างกายแข็งแรง จิตใจแจ่มใสเบิกบาน อยู่ในสังคมได้อย่างมีความสุข
    3.2   อาหาร คือแหล่งพลังงานของชีวิต การรับประทานอาหารที่ทำให้สุขภาพดี ไม่เจ็บป่วยและอายุยืน จะต้อง กินอาหารเช้าอย่างราชา อาหารกลางวันอย่างคนธรรมดาและอาหารเย็นอย่างยาจก ดังนั้น อาหารเช้าจึงเป็นมื้อที่สำคัญที่สุด
   3.3 อนุมูลอิสระ (Free radical) การรับประทานอาหารจะเกิดของเสียที่เรียกว่า อนุมูลอิสระหรือเรียกว่าประจุวิ่งหารัก หรือประจุขาดรัก วิ่งไปทั่วร่างกาย อวัยวะที่เล็กที่สุดในร่างกาย คือ เซล
       เซลประกอบด้วย ผนังห้อง และแกนกลางเรียกว่า นิวเคลียส หรือ DNA นิวเคลียสเป็นพิมพ์เขียวที่ทำหน้าที่สร้างเซลใหม่ ส่วนอนุมูลอิสระจะเป็นตัวทำลายผนังห้องและนิวเคลียส ทำให้เซลเนื้อเยื่อเปลี่ยนแปลงไป  แต่ร่างกายเราจะมีระบบภูมิคุ้มกัน ถ้าไม่ดูแลสุขภาพให้ดีภูมิคุ้มกันจะถูกทำลาย ทำให้เกิดมะเร็งและโรคต่างๆ  เกิดขึ้นได้โดยง่าย
    3.4 อาหารเช้า ควรรับประทาน คาร์โบไฮเดรท วิตามินบี และซี ถ้าไม่กินมื้อเช้าชีวิตจะเริ่มต้นด้วยความเป็นกรด (แลคติกแอซิค) ยกเว้นเรามียาวิเศษคือ การหัวเราะ เพราะขณะหัวเราะร่างกายจะเปลี่ยนเป็นด่าง หัวเราะ 1 ครั้ง อายุยืน 5 นาที  อาหารเช้าที่ต่อต้านความเครียดในการทำงานได้แก่ วิตามินบี และซี ซึ่งไม่มีการเก็บสะสม เพราะละลายในน้ำได้หมด  มื้อเช้าที่เร็วและง่าย คือ กล้วยหอม 1 ลูก+ส้ม 1 ลูก + นม 1 กล่อง (หรือ HOT CHOCOLATE)  ในกล้วยหอมมีแมกนีเซียม และโปตัสเซียม ในส้มมีวิตามินซี โดยเฉพาะกากส้มขาว ๆ มีเส้นใยไฟเบอร์ชนิดไม่ละลายในน้ำ ที่สามารถช่วยดูดซึมพิษในร่างกายและขับออกไป กากส้มมีวิตามินซีมากกว่าน้ำส้ม ในนมมีสารทริบโตเฟน ทำให้กระปรี้กระเปร่า และ อารมณ์ดี
    3.5 อาหารกลางวัน  กินอะไรก็ได้ที่ชอบ เช่น  แกงเขียวหวาน  ขาหมู  ก๋วยเตี๋ยว แต่ที่  เป็นอันตราย ต่อสุขภาพ  คือ น้ำตาล และน้ำมัน  ที่จะต้องพยายามหลีกเลี่ยง
    3.6   อาหารเย็น ต้องกินพืชผักและผลไม้ เพื่อให้ได้ไฟเบอร์ ซึ่งเป็นสารต่อต้านอนุมูลอิสระ และชะลอความแก่  มื้อเย็นง่าย ๆ เช่น ผัดผัก 1 จาน + ส้มตำ 1 จาน + น้ำผลไม้ 1 แก้ว กินผักผลไม้วันละ ½ กก. จะทำให้แก่ช้า หรือดื่มน้ำผลไม้สดวันละ 3 แก้ว 3 สี แก้วละสี หรือผสมกันก็ได้  สุขภาพจะดีขึ้นมาก
    คาร์โบไฮเดรท  ทำหน้าที่ให้พลังงาน  มีมากในแป้ง  ข้าว  ขนมปัง  ก๋วยเตี๋ยว  วิธีกินคาร์โบไฮเดรทไม่ให้อ้วน คือกินช้า ๆ เคี้ยวให้ละเอียด กินพออิ่ม ที่เหลือเก็บไว้กินในมื้อต่อไป  หรือ  พยายามกินเพียง 3 ใน 4 ส่วน ที่อยู่ในจาน แล้วหยุดกิน
    วิตามินบี  มีมากในธัญญพืช ลูกเดือย ข้าวกล้อง ถั่วเหลือง ถั่วแดง เต้าหู้
    โปรตีน  มีมากในเนื้อสัตว์ อายุเกิน 35 รับประทานโปรตีนพอประมาณ ถ้ามากจะทำให้ดูดซึมแคลเซียมไม่ดี เกิดโรคกระดูกผุ สัตว์ใหญ่ก่อนตายจะหลั่งสารแอดรีนาลิน (สารทุกข์) ผสมเข้าไปในกระแสเลือด จึงไม่ควรกินเลือดสัตว์อย่างยิ่ง อันตรายยิ่งนัก ให้เปลี่ยนไปกินปลาแทน เพราะย่อยง่ายและมีไขมันชั้นดี ทำให้การไหลเวียนของเลือดดี ป้องกันโรคหัวใจและสมองขาดเลือด  แก้มปลามีแคลเซียมมากกว่าส่วนอื่น ควรกินปลาสัปดาห์ละ 3 มื้อ ก็เพียงพอแล้วอย่ากินทุกมื้อ เพราะจะทำให้เลือดออกไม่หยุด  ชาวเอสกิโมโดนมีดบาดเลือดจะออกไม่หยุดเพราะกินปลาทุกมื้อ หญิงตั้งครรภ์ไม่ควรกิน Fish oil เพราะอาจทำให้ตกเลือด
    แคลเซียม ในวัยทองต้องการแคลเซียมวันละ 1200-1500 มก. และควรกินปลาเล็กปลาน้อยเพื่อให้ได้แคลเซียมเพียงพอ
    ผักขมฝรั่ง (spinach) มีธาตุสังกะสี เหล็ก และสารต่อต้านอนุมูลอิสระ ต้นไม้ที่มีเปลือกจะมีสารต่อต้านสิ่งแวดล้อมภายนอก เพราะต้นไม้อยู่กับที่ วิ่งหนีมลพิษไม่ได้ จึงมีเปลือกเพื่อป้องกันมลพิษ
    น้ำตาล  ต้องไม่ขัดสี เช่นน้ำตาลทรายแดง และน้ำตาลกรวด  น้ำตาลทรายขาวมีสารขัดขาวซึ่งเป็นสารเร่งความเครียด ทำให้เครียดง่าย และเป็นอันตรายต่อสุขภาพ  น้ำตาลเทียมดีกว่าน้ำตาลขัดสี  แต่รสชาดไม่ดีเท่านั้น
    ความจำเป็นในการกินอาหารให้ครบทั้ง 3 มื้อ
     ถ้าวัยหนุ่มสาว ควรกินให้ครบ 3 มื้อ แต่ถ้าวัย 35 ขึ้นไป และวัยทอง ควรมีอาหารว่าง (snack) ที่ให้พลังงานไม่มากเป็นมื้อที่ 4 กินหลายมื้อได้ แต่ครั้งละ น้อย ๆ และเลือกอาหารที่ย่อยง่าย   ข้อควรคำนึงคือ
    กินอย่างอารมณ์ดี เช่นกินกับคนที่เรารัก กินช้าๆ เคี้ยวให้ละเอียดนึกถึงแต่ความสุข ถ้ากินมื้อละ15 นาที 3 มื้อ ก็เท่ากับเรามีความสุข 45 นาทีแล้ว และกินอย่างมีน้ำใจ นึกถึงชาวนาอย่ากินทิ้งกินขว้าง กินพอประมาณ อิ่มแล้วเลิก หรือจวนอิ่มแล้วหยุด
วิธีดื่มกาแฟ
    - ต้องไม่ใช้ครีมเทียม  เพราะครีมเทียมคือน้ำมันมะพร้าว ทำให้มันจุกอกตาย 
กาแฟ 3 อิน 1 ไม่ดี เพราะผสมครีมเทียม  กาแฟดำมีอะโลม่า ดื่มแล้วอารมณ์ดี
การไหลเวียนของเลือดดี
    วิธีชงกาแฟ  ใส่กาแฟ 1 ช้อนชา  เติมนมอุ่น (Low fat) ½ แก้ว และน้ำตาล  วิธีดื่มกาแฟที่ดีที่สุด  ต้องไม่ใส่อะไรเลย  กาแฟเอสเปรสโซ่ดื่มรวดเดียวหมดจะหวานกว่าจิบทีละนิด  ดื่มกาแฟวันละไม่เกิน 3 แก้ว  ถ้าเกินจะดึงแคลเซียมจากไต มีอันตรายต่อสุขภาพ
 
การพักผ่อน   หลักการพักผ่อนที่ดี  มีหลายแบบ  อาทิ
    1. หนีความจำเจซ้ำซาก  เช่นเที่ยวทุก 1 เดือน หรือเปลี่ยนทรงผมใหม่  มีคำกล่าวว่า
 เปลี่ยนที่(สถานที่) ได้ห้า   เปลี่ยนหน้า (ใบหน้า ,ทรงผม) ได้สิบ  อาจทำให้สบายใจมากขึ้น
    2. มองโลกในแง่ดี  เช่น มีน้ำ ½ แก้ว  ต้องมองว่ายังเหลือน้ำอีกตั้ง ½ แก้ว  ไม่ใช่น้ำหมดไปแล้วตั้ง ½ แก้ว อีกกรณีคือภรรยาของอาจารย์จะไม่ให้ความสำคัญที่จะต้องทราบว่าในแต่ละวันอาจารย์จะอยู่ที่ไหน ขณะเดียวกันอาจารย์เป็นฝ่ายต้องทราบว่าภรรยาอยู่ที่ไหนเพื่อกลับมาทำหน้าที่เทคแคร์ภรรยา ให้ทัน กรณีนี้ภรรยาจะไม่เกิดความทุกข์กังวลในการสอดส่องสามี ว่า ไปทำอะไรลับหลังภรรยา
    3. Second job  นอกจากงานหลักเพื่อเลี้ยงชีวิตและครอบครัวแล้ว  ควรมีงานรองอย่างที่ 2 ที่เราชอบ  ที่เราไม่คิดว่าเป็นงาน แต่ทำแล้วมีความสุข เช่น เขียนหนังสือ สอนหนังสือ หรือบรรยาย
   
การนอนหลับสนิท  จะทำให้เกิดสารเมลาโทนินซึ่งเป็นสาร antioxidant ทำหน้าที่กำจัดของเสียที่เกิดขึ้นในตอนกลางวัน ปัจจุบันเมลาโทนินที่มีขายอยู่จะออกฤทธิ์เพียง 6 นาทีเท่านั้น แต่ร่างกายเราต้องการ 6  ชม.  การนอนหลับสนิทได้คุณประโยชน์มากกว่า
    การพักผ่อนที่ดีที่สุด  บางครั้ง ได้แก่ การอยู่เฉย ๆ อยู่กับตัวเอง  อย่าให้งานและสังคมมายุ่งเกี่ยว ทำอะไรก็ได้ที่ไม่ทำให้ใครเดือดร้อน  เช่น ดูหนัง ฟังเพลง จิบชา ล่องเรือ  ฟิตเนส  หรือสปา  การออกกำลังกายที่รักที่ชอบ   ก็เป็นการพักผ่อนอย่างหนึ่ง
 
สรุปคำถามคำตอบ
 
1.  นม กับ น้ำเต้าหู้  อะไรดีกว่ากัน
     คนไทยประมาณ 1/3 หรือ 30% ไม่มีสารย่อยสลายนม ถ้าดื่มนมไม่ได้ให้กินโยเกิร์ตแทนเพราะมีประโยชน์โดยเฉพาะผู้หญิง ใช้ทาหน้าทำให้หน้าตึง และมีแลคโตไบซิไลท์ เข้าไปอยู่ในทางเดินอาหารและช่องคลอด ช่วยย่อยและไม่ติดเชื้อราที่ช่องคลอด  น้ำเต้าหู้สกัดจากถั่วเหลือง มีฮอร์โมนไฟโตเอสโตรเจน ยับยั้งการเกิดมะเร็งเต้านมและมดลูก แต่น้ำเต้าหู้ไม่มีแคลเซียม ต้องกินเต้าหู้แข็งจึงได้แคลเซียม เต้าหู้ยิ่งแข็งยิ่งมีแคลเซียมสูง
2.  แก้วมังกรทำให้เป็นมะเร็งหรือไม่
     ไม่น่าจะใช่ ยังไม่เคยอ่านเจอ แก้วมังกรมาจากเวียดนาม มีไฟเบอร์สูง แคลอรี่ต่ำ ควรฟังหูไว้หู อย่าตระหนกเกินกว่าเหตุ วิธีแก้กินแก้วมังกรน้อยลง เพิ่มฝรั่งและแอปเปิ้ลแทน
3.  ฮอร์โมนเพศหญิงในวัยทองทำให้เกิดมะเร็งหรือไม่
     เป็นเพียงผลงานวิจัยของอเมริกาเท่านั้น โดยทำการทดลองกับกลุ่มหญิงที่เป็นโรคหัวใจ อ้วน และหน้าอกโต ซึ่งมีปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็งอยู่แล้ว โดยการให้ฮอร์โมนอยู่ชนิดเดียว ขนาดเดียว เกิน 5 ปี พบว่าปัจจัยเสี่ยงในการเป็นมะเร็งเพิ่มขึ้น 0.25%
4.  โยเกิร์ตและสมูทตี้
     หลักการของสมูทตี้ คือต้องการไฟเบอร์ไปช่วยดูดพิษ แต่โยเกิร์ตมีแลคโตไบซิไลท์อย่างเดียว ไม่มีไฟเบอร์ วิธีทำง่าย ๆ คือ  โยเกิร์ต + น้ำผึ้ง + กล้วยหอม
5.  การนอนให้ได้ประโยชน์
     ควรนอนก่อน 4 ทุ่ม ในห้องที่ตกแต่งเหมือนโรงแรม mมีม่านติด 2 ชั้น เพื่อป้องกันแสง   ควรตื่นเมื่อถึงเวลาตื่นมา ไม่ใช่ตื่นเพราะแสงแดดแยงตา ควรนอนในห้องที่มีความมืด ระบบฮอร์โมนจะทำงานปกติ การนอนในห้องที่มีแสงไฟไม่ดี เพราะฮอร์โมนจะสร้างในความมืดในขณะที่เรานอนหลับสนิท   การงีบในตอนบ่ายดีในแง่ จะทำงานมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
6.  ออกกำลังกายตอนไหนดี
     เวลาไหนก็ได้ที่เหมาะสมกับเราที่สุด อย่ายึดมั่นถือมั่นแล้วเราจะมีความสุข ตัวเราเองรู้เอง
 ออกกำลังกายตอนไหนก็ได้
 ออกกำลังกายตอนเช้า  ได้แสงแดดตอนเช้า ได้วิตามินดี กระดูกหนาขึ้น  อาหารเช้าจะต้านสารอนุมูลอิสระที่เกิดจากการออกกำลังกายได้ พอหายเหนื่อยให้อาบน้ำอุ่นแล้วตามด้วยน้ำเย็น   จะทำให้กล้ามเนื้อกระฉับกระเฉง ทำงานได้ดี
ออกกำลังกายตอนเย็น โดยมีอุปกรณ์  เช่น ใช้ไม้พลองประกอบ ทำให้กระดูกแขนไม่บาง ไม่โดนแสงแดด  แต่การออกกำลังกายทำให้เกิดอนุมูลอิสระ   วิธีแก้คือ ดื่มน้ำผลไม้สด 1 แก้ว ก่อนและหลังออกกำลังกาย จะต้านอนุมูลอิสระได้ การออกกำลังกายทำให้ร่างกายตื่นตัว  จึงควรอาบน้ำเย็นก่อนแล้วตามด้วยน้ำอุ่น จะทำให้กล้ามเนื้อผ่อนคลาย  และจะทำให้นอนหลับสบาย
7.   น้ำมันประกอบอาหารชนิดไหนดี  น้ำมันมี 2 ชนิด  คือชนิดกรดไขมันอิ่มตัว เช่น น้ำมันหมู
   วัว ไม่ควรกินเพราะไขมันจะไปอุดตามเส้นเลือด และชนิดกรดไขมันไม่อิ่มตัว เช่น น้ำมันมะกอก (ทนความร้อนได้ดีที่สุด) ทานตะวัน ข้าวโพด ฟักทอง ถั่วเหลือง  ถ้าอยากให้หอมเมื่อปรุงอาหารเสร็จปิดไฟ   แล้วค่อยใสน้ำมันงา   เพราะเป็นน้ำมันที่ไหม้ง่าย   จะทำให้อาหารมีความหอมมากขึ้น
8.   พืชกับนมจากสัตว์อย่างไหนมีธาตุเหล็กมากกว่า   นมจากสัตว์มีธาตุเหล็กมากกว่า นมแพะ
     นมจามรีดีกว่านมวัวเพราะไขมันน้อยแต่ไม่ค่อยอร่อย  นมวัวอร่อยแต่มีไขมันมากที่สุด 
วิธีแก้ ต้องให้ดื่มนมวัวแบบพร่องมันเนยแทน
9.   การทำดีท็อกซ์ หลักการคือนำกากอาหารใส่ในลำไส้ เช่น กาแฟ เพื่อทำให้สารพิษออกมา
      เสียเงินและทรมาน ควรทำดีท็อกซ์แบบชาวบ้านคือ กินมังสวิรัติสัปดาห์ละ 1 วัน อาจารย์จะดีท็อกซ์ทุกวันเสาร์โดยไม่กินเนื้อสัตว์  แต่จะต้มจับฉ่ายใส่เต้าหู้ ฟองเต้าหู้ และเห็ดหลาย ๆ ชนิด ใส่ผักขม คะน้า ไชเท้า กวางตุ้ง ใส่น้ำมันงา และพริกไทยดำ โดยกินให้หมดภายใน 1 วัน
10.   กินกาแฟแล้วนอนไม่หลับ  วิธีแก้  คือ  กินกาแฟ และนมอุ่น ๆ หรือกินกาแฟ + กล้วยหอม + เนยมาการีน  หรือกินกาแฟดีคาเฟอีน(กาแฟที่มีแต่กลิ่นไม่มีสารคาเฟอีน)  เพราะเราติดที่กลิ่น
11.  นมเย็นกับนมอุ่นอย่างไหนดีกว่ากัน   สารอาหารเท่ากัน  แต่นมอุ่นดีกว่า (55 องศา C) เพราะแตกตัวได้ทริบโตเฟน ทำให้อารมณ์ดี นมเย็นจะไม่แตกตัว วิธีอุ่นนม ให้เอาน้ำใส่แก้ว แล้วนำไปเข้าไมโครเวฟจนร้อนแล้วค่อยเอานมใส่
12.  ผักผลไม้สดกับน้ำผักผลไม้คั้น  ดีทั้ง 2 อย่าง แต่ถ้าผักผลไม้สดต้องกินเป็นจำนวนมาก
      เป็นกก. ถึงจะได้สารอาหารเพียงพอ   แต่ถ้าคั้นเป็นน้ำ ดื่มเป็นแก้วพอไหว
13.  อาหารรักษาโรคข้อ    ใช้ เซลารี่ 4 ก้านใหญ่ + แอปเปิ้ลหรือฝรั่ง + แครอท  นำมาแยกกากดื่มวันละ 1 แก้วทุกวันจะแก้โรคข้อเข่า  จะไม่เจ็บไม่ปวด    หรือนำเซลารี่ไปผัดกับกุ้ง แต่ต้องกินให้ได้ 4 ก้านใหญ่ จึงจะเพียงพอ  ดังนั้นนำไปแยกกากดีกว่า  เซลารี่จะมีสรรพคุณแก้ปวดบวม แอปเปิ้ลหรือฝรั่งมีวิตามีซีช่วยเรื่องน้ำในข้อ  ส่วนแครอทช่วยในเรื่องเยื่อเมือก
14.   น้ำผลไม้แบบกล่อง   แทบจะไม่ได้สารอาหาร นอกจากกลูโคส ควรคั้น (แยกกาก)
      เองสดๆ  ดีที่สุด      แล้วดื่มทันทีจะได้คุณค่ามาก  หากต้องการดื่มแบบเย็น ให้นำน้ำแข็งใส่ กาละมัง  ใส่น้ำ แล้วนำผลไม้ลงไปล้างแล้วค่อยมาคั้น   หรือนำแก้วเปล่าและผลไม้ไปแช่เย็นก่อนนำมาคั้นก็ได้
15.   วิธีทานกล้วยหอมไม่ให้ลมขึ้น  ให้กินกล้วยห่าม ๆ จะไม่หวานและได้คาร์โบไฮเดรท
       ถ้าดิบหรือสุกเกินไปจะได้แต่น้ำตาล
16.  การปั่นกับการแยกกาก (คั้น)      การปั่น เป็นการตีให้แตก จะทำให้สารอนุมูลอิสระออกมา
     ไม่ดี   แต่การแยกกาก  เป็นการแยกน้ำและแยกกากออกจากัน  ได้คุณค่ามากกว่า  แต่การ
     แยกกากจะไม่ได้ไฟเบอร์   ถ้าต้องการไฟเบอร์ให้ตักกากมากินก็ได้ หรือ เอากากมาปั้นเป็นก้อนกินชดเชยได้
17.   น้ำโซดาล้างท้องได้หรือไม่  โซดาเป็นน้ำด่าง มีข้อดีคือ ถ้าในท้องมีกรดมาก โซดาจะทำให้เกิดความสมดุลและสบายท้อง  แต่ถ้าท้องมีแก๊ส โซดาจะทำให้ท้องอืด   ถ้ากินแล้วสบายดีก็กินต่อไปได้
18.  อาหารที่กินแล้วผมไม่หงอก   ไม่มี   ถ้าอยากหายต้องใส่วิก  ผมหงอกเกิดจากกรรมพันธุ์ และความเครียด  อาหารและแร่ธาตุที่ช่วยให้ผมหงอกช้า ได้แก่  วิตามินบี และซี  สังกะสี (zinc) แต่ควรกิน zinc อะมิโน ครีเรท อย่ากินzinc ซัลเฟรด เพราะกัดกระเพาะ หรือกินอาหารเสริม เช่น เซ็นทรัม แบลคมอร์ จะช่วยให้เส้นผมดำขึ้น
19.  การย้อมผมกับมะเร็ง  การย้อมผมทำให้บุคลิกดีขึ้นมีความสุข เลือกใช้ยาย้อมผมที่ไม่มีสารโลหะหนักผสม  เช่น  ตะกั่ว    ถ้าไม่มีสารตะกั่วก็ไม่เป็นไร  เวลาย้อมให้ปิดตาและจมูกให้ดี
อาจใช้แบบสเปรย์ก็ได้
20.  ประโยชน์ของน้ำสมุนไพร (HERB)  คือพืชผักผลไม้ จึงมีคุณค่าทางยาแล้วแต่ชนิด  เช่น        เครนเบอรี่ หรือ กระเจี๊ยบ จะมีสรรพคุณทางยาช่วยเรื่องการอักเสบในกระเพาะปัสสาวะ
หรือนิ่วในไต   เป็นต้น
21.  ตำราอาหารสำหรับผู้ชาย  กินกล้วย + น้ำผึ้ง + พริกไทยดำ จะทำให้หลับสบาย ถ่ายสะดวก    วิธีทำ  ใช้กล้วยน้ำว้าหรือกล้วยหักมุกผึ่งแดดเดียวแล้วโรยน้ำผึ้งและพริกไทยดำ  รับประทานบ่อยๆ สุขภาพจะดี
 
Section: การแพทย์ สุขภาพ สุขภาวะ

เพิ่มเติม

วันอาทิตย์ที่ 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

ทำวันวาเลนไทน์ให้เป็นวันที่มีความสุข

      อยากให้ช่วยกันส่งความสุขไปให้แด่ทหารที่กำลังทำหน้าที่ดูแลรักษา ปกป้อง ประเทศของเรา เค้าดูแลเราให้มีความสุข ในขณะที่ความเป็นอยู่ของเค้า ไม่ได้มีความสุขเหมือนเราเลย เค้าอยู่ท่ามกลางความเป็นความตาย ไม่รู้ว่า ความตายจะมาเยือนเค้าเมื่อไร
      เราอยู่ทางนี้ อย่าทะเลาะกันอีกเลย ทหารผู้กล้าหาญของเรา เราไม่เคยเห็นเค้าเกี่ยงหรือถกเถียงการทำหน้าที่ของเขาเลย ไม่เคยปฎิเสธหน้าที่ของตัวเอง ไม่ว่าจะพอใจหรือไม่ก็ตาม
      เราขอมอบดอกไม้สวยๆ เพื่อส่งความสุขและอยากให้เขารู้ว่า พวกเราที่อยู่ข้างหลัง คิดถึงพวกเค้าทุกคน


















            อยากให้ทุกฝ่ายมอบความรักให้แก่กัน ไม่อยากให้ทะเลาะกันอีกแล้ว ไม่ว่าฝ่ายไหนก็ตาม ทะเลาะกันไป ความสูญเสียก็ตกเป็นของคนในชาติทั้งหมด ไม่อยากให้เอากฎหมู่มาอยู๋เหนือกฎหมายเพราะถึงอย่างไร คนในรัฐฯ ก็มาจากการเลือกตั้งของเรา ให้เขาทำงานให้เต็มที่ ถ้าคิดว่าเขาบริหารงานไม่ดี ไม่ถูกต้อง(ไม่ใช่ไม่ถูกใจนะ) ก็ไม่ต้องเลือกเข้ามาทำงานอีก ก็ได้ แต่เลิกทำร้ายประเทศชาติเสียทีเถิด
    
เรื่องราวดีๆยังมีอยู่เสมอ

วันพฤหัสบดีที่ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

วาเลนไทน์แห่งความเศร้า

     วาเลนไทน์ปีนี้ ไม่ใช่วันแห่งความสุขอย่างที่ควรจะเป็นซะแล้ว เพราะบ้านเมืองเรา ณ เวลานี้ ไม่ได้มีความสุขอย่างแท้จริง ปัญหาเกิดขึ้นทั้งภายในและภายนอก อย่างที่เรารู้ๆจากสื่อต่างๆที่นำเสนอให้เราได้เสพกัน
     แต่นั่นล่ะน่ะ ทุกสิ่งทุกอย่างยังต้องดำเนินต่อไป ไม่สามารถหยุดอยู่กับที่ได้ ก็ได้แต่หวังว่า ทุกสิ่งทุกอย่างจะผ่านไปและจบลงด้วยความเสียหายและเจ็บปวดน้อยที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ และขอให้จบลงโดยเร็วด้วยเถอะ
     ก็อยากจะขอยกเอาบทความที่เกี่ยวกับวันเลนไทน์มานำเสนอ อาจจะทำให้ความรู้สึกเราดีขี้นบ้างก็ยังดีน่ะ

ทำได้ครบทุกอักษร รับประกันชีวิตรักราบรื่น-มีความสุข
นอกจากวันวาเลนไทน์จะมีตำนานเล่าขานถึงความรักอันบริ สุทธิ์ของเซนต์วาเลนไทน์แล้ว ทุกๆอักษรของคำว่า Valentine ยังมีความหมายดีๆที่หลายๆคนคาดไม่ถึง

V คือ VERITY ความจริงที่มีอยู่ ซึ่งความจริงแล้วถ้าความจริงสิ่งที่เป็นอยู่ของคุณแล ะเธอ หรือเขาที่มีต่อกันแล้ว ความไว้เนื้อเชื่อใจ ความเข้าใจก็จะมีเพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณทีเดียว ในโลกนี้มีสิ่งที่รู้อยู่เพียง 4 อย่างเท่านั้น คือ คุณรู้ เขาไม่รู้ คุณไม่รู้ เขารู้ คุณรู้ เขารู้ คุณไม่รู้ เขาก็ไม่รู้ ถ้าหากคุณบอกสิ่งที่คุณรู้และเขาไม่รู้ หรือคุณไม่รู้เขาบอกให้คุณรู้ ความรู้นั้นก็จะกลายเป็นสิ่งที่เปิดเผย จะบอกเขาว่ารัก ก็รีบๆ บอกเสียในวันนี้ อย่าบอกว่า การกระทำก็บอกอยู่แล้ว สายตาก็บอกอยู่แล้ว บอกให้ชัดๆ เสียว่า "รักคุณ"

A คือ AMBITION เป็นความปรารถนาดีอย่างแรงกล้า คุณจะรัก จะชอบ จะจีบใคร คุณควรมีความปรารถนาอย่างสูง มิใช่เห็นเขาส่งการ์ดให้ ส่งดอกไม้ให้ พาเขาไปฉลองสนุกๆ เท่านั้น คุณควรมีความปรารถนาในความรักอย่างจริงจังมิใช่ทำไปเ พื่อตามแฟชั่น หรือเพื่อนพ้องลากไป หรือชวนให้ทำ ไปสรรหาการ์ดสวยๆ สั่งดอกกุหลาบสีแดงสดสวยๆ ไว้ล่วงหน้า พยายามทำด้วยความปรารถนาดีที่มีไฟอยู่ในใจนะ

L คือ LENIENT ความผ่อนปรน ความปรานี คุณและเขาหรือเธอควรจะมีการผ่อนปรน หรือสิ่งที่ละทิ้งได้ก็ควรจะละทิ้งไป อย่าเก็บมาใส่ใจให้เป็นขยะในใจ หรือรอยมลทินใจ อย่าคิดอะไรเก่าๆ สมัยนี้ควรที่จะคิด จะนึกได้นะว่า บางอย่างก็ทิ้งๆ ไป เสีย อย่านำมาคิด มีความปรานี เมตตาหรือความรัก ความปรารถนาดีกว่า

E คือ EQUALITY ความเสมอภาค ความทัดเทียมกันในสมัยปัจจุบัน คู่รักหรือคนรักกัน ควรจะมีความเท่าเทียมกันมิใช่อยู่ในสมัยบรรจงกราบเช้ า กราบเย็น นอนทีหลังตื่นก่อนแล้ว เราต้องก้าวไปด้วยกัน ด้วยความมุ่งมั่นในอนาคต ด้วยความเสมอภาค แต่เราก็คิดเสมอว่าเคียงข้างไปด้วยกัน ขนานกันดีกว่าที่จะมาจูงกัน ก้าวไปด้วยความรักที่มีเท่าเทียมกัน เขามอบอะไรให้เรา เราก็ควรจะตอบแทนให้เขาเท่าๆ กัน พอๆ กัน มิใช่เอารัดเอาเปรียบเขา เขามาแสดงความรัก ความยินดี ด้วยกุหลาบช่อใหญ่ แต่เราให้เขาเพียงดอกเดียว ดูเป็นการเอาเปรียบกันเกินไป จริงอยู่บางคนอาจคิดว่าไม่สำคัญ แต่มันสำคัญที่ใจ ถ้าหากต่างคนต่างให้ความเสมอภาคแล้ว ตาชั่งก็คงไม่เอียงใช่ไหม

N คือ NOTABLEการยกย่องให้อยู่ในสภาพที่ดี ถึงแม้คุณจะมีความเสมอภาคเท่าเทียมกันแล้วก็ตาม คุณก็ควรจะยกย่องเธอหรือเขาให้อยู่ในสถานภาพที่ดีต่อ บุคคลทั่วไป คือ เป็นการให้เกียรติยกย่องเธอหรือเขาต่อสังคม ว่าเป็นคนที่สวยเป็นคนที่ดี ไม่ว่าอยู่ต่อหน้า และลับหลัง มิใช่เอาไปนินทา เอาไปเผาต่อหน้าเพื่อนฝูงให้ไหม้เป็นจุณไป หรือพูดคุยตลกคะนอง ลับหลังเธอหรือเขาว่าเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ สู้ฉันไม่ได้ ฉันยอด คุณควรจะยกย่องเธอหรือเขา ในโอกาสที่ควร และในเวลาที่กำลังมีความรักอยู่ด้วยแล้วก็จะดียิ่งที เดียว

T คือ TENDERความรักใคร่ที่นุ่มนวล บรรจงเป็นห่วงเป็นใย Love me Tender คงจะบอกคุณได้หลายๆ อย่าง คุณควรจะทะนุถนอมเธอหรือเขาด้วยความรัก ความนุ่มนวล ความห่วงใย โทร.ไปสวัสดี Valentine ตั้งแต่ใครยังไม่โทร.ไปสวัสดีก่อน เพื่อให้เธอหรือเขาเห็นว่าคุณมีความห่วงใย ความปรารถนาดีแค่ไหน ไปฉลองด้วยกันต้องนุ่มนวลในบรรยากาศอย่างนั้น ดูซิ แสนจะสดชื่นกับความรักแค่ไหน

I คือ INNOVATION การทำความแปลกใหม่มาให้คู่รัก คนรักหรือชีวิตรัก มิใช่อยู่อย่างไรก็อยู่อย่างนั้นมาตลอด ชอบกันอย่างไรก็ชอบกันมาอย่างนั้น เคยให้อะไรก็ให้อย่างนั้น คุณควรจะทำสิ่งแปลกๆ ใหม่ๆ มาสู่ชีวิตคุณและเธอหรือเขาด้วย การเปลี่ยนแปลงเป็นวิถีของชีวิต ดังนั้น คุณควรจะเปลี่ยนอะไรๆ บ้าง ในทางที่ดีนะ อย่างคุณจะหาอะไรในวัน Valentine ให้เธอเปลี่ยนจากดอกไม้ที่เป็นดอกกุหลาบมาเป็นผ้าตัด เสื้อลายกุหลาบ หรือผ้าเช็ดหน้าปักกุหลาบแดง หรือจี้เพชรรูปกุหลาบ เข็มกลัดกุหลาบก็ได้ ส่วนคุณที่จะมอบให้เขาอาจเป็นผ้าเช็ดหน้าปักกุหลาบ เข็มกลัดไทรูปกุหลาบ หรือแหวนรูปกุหลาบสำหรับใส่นิ้วก้อยสักวง ลองเปลี่ยนบ้างนะ

N คือNEXUSการเชื่อมโยงความสัมพันธ์ให้มีตลอดไปมิใช่วัน Valentine เท่านั้นที่คุณจะมอบกุหลาบให้เธอหรือเขา วันเกิด วันปีใหม่ วันครบรอบความรักที่เคยให้กันไว้ วันครบรอบวันแต่งงาน หรือวันสำคัญๆ ที่คุณให้ก็ได้ หรือบางวันก็ส่งช่อดอกไม้ไปให้เธอช่อใหญ่ๆ พร้อมกับคำขวัญสั้นๆ ว่า "รักคุณ" ให้คนในที่ทำงานหรือเพื่อนๆ อิจฉาเล่นก็ได้ เป็นการแสดงถึงความสัมพันธ์ของคุณต่อเธอหรือเขาว่าคุ ณยังคิดถึง ยังรักอยู่นะ

E คือ ENDURANCE ความอดทน ความยืนยงสถาพร ความอดกลั้น ความเป็นอมตะ อยู่ชั่วกาลนานคุณจะต้องมีความอดทนต่อทุกๆ สิ่ง ถ้าหากคุณต้องเผชิญกับสิ่งนั้น อาจเป็นเวลาที่คุณจะต้องคอย คุณจะต้องยืนหยัดในความปรารถนาของคุณ คุณต้องอดกลั้นเมื่อคุณเผชิญต่อสิ่งที่คุณจะต้องโมโห หรืออารมณ์เสีย ต่อหน้าเธอหรือต่อหน้าเขา คุณควรประพฤติและปฏิบัติอย่างเป็นไปอย่างนั้นอย่างเส มอๆ มิใช่นานเกือบเดือนเพิ่งจะโทร.ไปหาหรือเขียนจดหมายมา หรือหายไปเป็นปีเพิ่งจะมาบอกว่า "รักคุณ"


     วันวาเลนไทน์ 14 กุมภาพันธ์ เป็นวันที่จะมอบความรัก ความเมตตาให้แก่กันและกันหรือยัง เป็นความรักที่บริสุทธิ์จากใจ ซึ่งเกิดขึ้นได้ระหว่างพ่อ แม่ ลูก เพื่อนกับเพื่อน ผู้บังคับบัญชากับผู้ใต้บังคับบัญชา ฯลฯ มิใช่เพียงการสื่อความหมายในเรื่องการมีเพศสัมพันธ์เ พียงอย่างเดียว

นัยของความหมายวันวาเลนไทน์ จึงมิได้หมายถึง ความรักฉันท์ชู้สาวเพียงอย่างเดียว แต่ยังหมายรวมถึงความรักที่มีต่อเพื่อน ครอบครัว สังคม โดยเฉพาะความรักกับจิตสำนึกทางศาสนา ซึ่งจะมีหลักคำสั่งสอนเกี่ยวกับสิ่งที่ดีงามไว้

เรื่องความรักก็เช่นกัน ความรักในศาสนาคาทอลิค กล่าวไว้ตอนหนึ่งว่า ความรักแท้ต้องรักอย่างเสียสละทุกอย่าง ไม่ใช้อารมณ์ จงรักแม้ผู้ที่วางตัวเป็นศัตรู ให้อภัยบุคคลทุกคนเสมอต้องเสียสละความรักแม้ต่อตัวเอ ง คือ รักคนอื่นมากกว่าตัวเอง

ความรักในศาสนามุสลิม มุสลิมทั่วโลก เมื่อพบกันหรือจากกัน จะกล่าวว่า "ด้วยพระนามของพระองค์ อัลเลาะห์(ซุปห์ฯ) ผู้ทรงกรุณาปราณี ผู้ทรงเมตตาเสมอ" เป็นการสอนให้มนุษย์มีความรัก ในรูปของ ความเมตตา กรุณา ปราณี และความสันติสุข จะบังเกิด โดยใช้หลักความอดทน การอยู่อย่างเสมอภาค โดยการจำกัดทรัพย์สินและบริจาคทรัพย์สิน ที่มีเกินอัตราที่กำหนดให้คนยากจนเป็นการสร้างความรั กที่เน้นการให้ การเสียสละ และสร้างความเห็นอกเห็นใจกัน

ความรักในพุทธศาสนา ตามคติธรรมจากพระราชนันทมุนี คือ การไม่เบียดเบียนกัน ต้องมีความรักกัน มีความเมตตากัน โดยมีพื้นฐานของความรักในพระพุทธเจ้า รักพระธรรม รักพระสงฆ์ เมื่อรักแล้วทำให้ไม่กล้าทำอะไรที่นอกลู่นอกทาง เป็นการสร้างคุณความดี ต่อตนเอง และผู้อื่น เกิดการอยู่ร่วมกันด้วยความรัก ความเมตตา ความปรารถนาดีต่อกัน

แม้ว่าวันวาเลนไทน์จะมีความหมายหลายแง่มุม แต่หากจะมองในมุมของเพศสัมพันธ์ วันวาเลนไทน์ ส่งผลกระทบเกี่ยวกับพฤติกรรมทางเพศของวัยรุ่นไทย นับวันจะเป็นปรากฏการณ์ที่เพิ่มมากขึ้น ท่ามกลางภาพที่สับสนเกี่ยวกับค่านิยม "รักนวลสงวนตัว" หรือ "การชิงสุก ก่อนห่าม" ที่กำลังถูกท้าทายอย่างรุนแรงในปัจจุบัน

การมอบกุหลาบหรือสิ่งของเป็นสื่อแทนความรู้สึกที่ดีต ่อกัน ในความหมายของคำว่า Valentine หากใครยังไม่ปฏิบัติ ก็ปฏิบัติได้ในปีนี้ หรือในโอกาสที่สมควรก็ได้ เพื่อสังคมเราจะได้มีแต่ความรักความสุขและรอยยิ้ม……… .คงไม่สายที่เราจะเริ่มสร้างไมตรีในวันสำคัญนี้




อยากให้เทียนเล่มนี้ ส่องสว่างอยู่ในใจกลางหัวใจทุกคน ให้แสงสว่างนำทางชีวิตไปสู่สิ่งที่ดีงาม*****


วันพุธที่ 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

อย่าเครียดน่ะ ไม่ดีเลย(อย่างไร)

ความเครียดไม่ดียังไง

           
คนเราเมื่อต้องทำกิจกรรมต่างๆ ในชีวิตประจำวันไม่ว่าจะเป็นเรื่องการเรียนการทำงาน หรือแม้กระทั่งไม่ทำอะไรเลย นั่งๆ นอน ๆ อยู่บ้านเฉย ๆ ก็อาจเกิดอาการเครียดขึ้นได้ อาการเครียดหรือความเครียดไม่ใช่เพื่อนที่ดีของมนุษย์เลย เมื่อมันเกิดขึ้นกับบุคคลใดรังแต่จะทำร้ายบุคคลนั้นๆ ให้มีศักยภาพในการดำรงชีวิตลดลง หลายๆ อย่างที่ดีๆ ไม่เกิดขึ้น ไม่พัฒนาก็เพราะบุคคลมีอาการเครียด
          ความเครียด เป็นผลมาจากคนที่ช่างสะสมความโกรธมากๆ ความรู้สึกไม่พอใจ ความรู้สึกไม่เป็นมิตร ความคับข้องใจในเรื่องต่างๆ ความเครียดมีผลเสียต่อสุขภาพกายและสุขภาพจิตเป็นอย่างมาก นอกจากนี้ความเครียดยังมีความสัมพันธ์กับความกดดันทางอารมณ์อีกด้วย คนที่มีความเครียดทำอะไรก็หงุดหงิด เบื่อหน่าย บางรายก็ก้าวร้าวก็มี คนที่มีความเครียดมากๆ มักจะมีอาการดังนี้ คือ
ในเรื่องระบบการหายใจ เมื่อบุคคลเกิดอาการเครียดมากๆ เขาเหล่านั้นจะรู้สึกหายใจ
ไม่ออก หายใจไม่เต็มปอด บางรายอาจจะหายใจเร็ว ใจเต้นผิดปกติ และหายใจลึกกว่าธรรมดา ชอบถอนหายใจ มีอาการสะอึกบ่อย บางรายอาจเกิดอาการหืดหอบ และถ้าสะสมความเครียดมาก ๆ ท่านอาจมีอาการหืดหอบถาวรก็ได้
ในเรื่องผิวหนังของผู้มีอาการเครียด มักพบเสมอว่าพอบุคคลเกิดอาการเครียดก็จะมี
อาการแพ้ต่างๆ เป็นผื่น คัน เป็นลมพิษ มีอาการแพ้ง่ายบางครั้งการแพ้นั้นหาสาเหตุไม่พบ มีอาการคันมากกว่าปกติ เหงื่อออกมาก
ในเรื่องระบบกล้ามเนื้อและกระดูกผู้ที่เกิดอาการเครียดเมื่อตื่นขึ้นมามักพบว่าตนเอง
ปวดต้นคอ ปวดหลัง ปวดกล้ามเนื้อ นอนไม่เต็มอิ่ม บางรายอาจมีตะคริวตามส่วนต่างๆ ของร่างกาย ถ้าเป็นมากอาจต้องพบแพทย์
ในเรื่องที่เกี่ยวกับระบบประสาท ผู้มีอาการเครียดมักจะรู้สึกปวดหัว หรืออาจปวดหัว
ข้างเดียว ปวดที่บริเวณหัวตา การปวดแบบหาสาเหตุไม่ได้ ไม่ตัวร้อน ไม่มีไข้นั้นเป็นผลมาจากความเครียด
ในเรื่องที่เกี่ยวกับระบบหัวใจผู้ที่เกิดอาการเครียดมักจะมีอาการใจสั่น หัวใจเต้นเร็ว 
ถ้ามีเรื่องหรือเหตุการณ์ใดๆ มากระตุ้นก็จะรู้สึกใจไม่ค่อยดี เกิดอาการร้อนวูบวาบไปทั่วใบหน้า หรือทั่วตัว นั้นเป็นเพราะความดันโลหิตสูงขึ้น ถ้าปล่อยให้ความเครียดสะสมมากๆ อาจเป็นสาเหตุทำให้ท่านเป็นโรคหัวใจได้
เมื่อท่านทราบแล้วว่าอาการของความเครียดเกิดอย่างไรต่อไปนี้ท่านควรทราบว่าความเครียดมีสาเหตุมาจากอะไร
ความเครียดมีสาเหตุมากจาก
1.        ตัวเราเอง ถ้าท่านเป็นคนเจ้าคิดเจ้าแค้น ขี้โกรธ ขี้งอน ขี้อ้อน   ขี้โมโห   คำว่า ขี้ 
หมายถึง ของเสียของไม่ดี เราควรเอาออกจากตัวเราทั้งหมด ความคิดไม่ดี ความรู้สึกไม่ดีที่เกิดจากนิสัยเราเอง ต้องพยายามปรับปรุง ถ้าท่านทำได้ ความเครียดที่เกิดจากตัวเราก็จะลดลง ในบางรายอาจเกิดความเครียดเพราะมีร่างกายไม่แข็งแรง มีความพิการทำอะไรไม่สะดวก หรือผู้หญิงบางคนมีประจำเดือนที่ผิดปกติก็อาจมีความเครียดได้
2.        สิ่งแวดล้อมรอบตัวท่าน เราสามารถแยกประเภทได้ดังนี้
สภาพการทำงาน บางท่านทำงานแล้วไม่ประสบความสำเร็จ เป็นหนี้ บางท่านทำงานในภาครัฐ ทำงานบริษัท อาจจะรู้สึกไม่มั่นคงในระบบงาน ทำให้ต้องทำงานหนัก มีเจ้านายหลายคน ทำงานด้วยความอึดอัดใจ เมื่อมีปัญหาเกิดขึ้นก็ไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้ แต่ท่านอาจพบว่าเพื่อนท่านก็อาจเป็นตัวกระตุ้นให้ท่านเกิดความเครียดได้มาก ถ้าท่านมีเพื่อนที่ชอบพูดเรื่องโน้นเรื่องนี้ วิเคราะห์เหตุการณ์ต่างๆ มากมาย คนที่ไม่ค่อยคิดมากเมื่อมีเพื่อนประเภทนี้ก็เลยคิดมาก ปวดหัวหนักเข้าไปอีก  สิ่งที่เราควบคุมไม่ได้แต่ผลของมันอาจกระทบตัวเรา เช่น ฝนตกน้ำท่วม หรือแล้งจนไม่มีน้ำฝน ร้อนจนไม่มีน้ำอาบ ไฟฟ้าก็ดับ ลมก็ไม่พัด อยู่ๆ ไปบ้านอาจเกิดไฟไหม้ ไม่มีอะไรเหลือ ไม่ทันตั้งตัว ปัญหาต่างๆ รุมเร้า นอกจากนี้บางทีปัญหาเล็กน้อยคนอาจเกิดอาการเครียดได้ เช่น รถติด ไปทำงานสาย ไม่ได้รับความดีความชอบ เลือกตัวแพ้ ไปจนกระทั่งปัญหาหนักๆ เช่น ตกงาน มีหนี้สินมาก รายได้ไม่พอกับรายจ่าย สิ่งเหล่านี้ล้วนแต่ทำให้บุคคลเกิดความเครียดได้ทั้งสิ้น
กลวิธีในการลดความเครียด
            เมื่อท่านรู้ว่าสาเหตุความเครียดมาจากอะไร เราก็สามารถหาทางแก้ไขปัญหาความเครียดตามสาเหตุนั้นๆ ไม่มีวิธีการใดๆ ที่ดีที่สุด ถ้าเราไม่รู้จักหันมาดูที่ตัวเราและเริ่มลงมือแก้ปัญหาความเครียดด้วยตัวเราเอง เทคนิคการแก้ไขปัญหาความเครียดอาจดีกับคนหนึ่ง แต่อาจใช้ไม่ได้กับอีกคนหนึ่ง ฉะนั้น การเสนอแนวคิดและกลวิธีในการลดความเครียดต่อไปนี้เป็นแค่แนวทางหนึ่งที่ท่านอาจเลือกใช้เพื่อลดความเครียดที่เกิดจากตนเองได้ดังนี้ คือ
1.        ฝึกยอมรับความเป็นจริง มีคนหลายคนที่มักไม่ยอมรับตนเอง คิดแต่ว่าตัวเองเก่ง ตัวเองดี ตัวเองมีความสามารถ คนอื่นไม่เก่ง คนอื่นไม่ดี คนอื่นไม่มีความสามารถการที่บุคคลคิดและมองเช่นนี้ เป็นการคิดที่เข้าข้างตนเองมากเกินไป รักตนเองมากเกินไป ในการคิดที่ถูกบุคคลต้องสามารถยอมรับความเป็นจริงว่ายังมีคนเก่ง คนดี และคนมีความสามารถเช่นเดียวกับเรา หรือถ้าเขาเก่ง ดี หรือมีความสามารถไม่เท่ากับเรา คนๆ นั้นเขาก็เก่ง ดี และมีความสามารถในระดับของเขา ผู้ปกครองบางคนมักจะตั้งคำถามเสมอว่า ทำไมลูกไม่เก่งเหมือนตน ส่งผลให้ผู้ปกครองกดดันลูกๆ ให้เก่งเหมือนตน กดดันตนเองไม่พอไปกดดันลูก  เทคนิคการยอมรับความจริงก็คือ การหัดคิดในแง่บวก หัดคิดในทางที่ดี มองโลกตามความเป็นจริง มองคนอย่างที่เขาเป็นแต่อย่างมองอย่างที่ท่านอยากให้เขาเป็น คือ มองเขาอย่างเป็นเขา มองปัญหาอย่างละเอียดรอบคอบ และพินิจพิเคราะห์พิจารณาอย่างถ่องแท้ เมื่อตัดสินใจแล้วไม่มาคิดย้อนกลับไปกลับมาอีก เคารพความคิดของตนเอง ยอมรับความจริงไม่ว่าผลจะเป็นอย่างไร เราก็ยอมรับความจริงนั้นๆ ได้
            2. ฝึกการผ่อนคลาย บุคคลควรจะรู้จักผ่อนคลายทั้งทางร่างกายและจิตใจ การผ่อนคลายทางร่างกาย อาจใช้เทคนิคการผ่อนคลายกล้ามเนื้อโดยการเกร็งกล้ามเนื้อในจุดที่เกิดอาการเครียด แล้วผ่อน ทำแบบนี้ 5-10 นาที อยู่ที่ใดก็ทำได้ หรือเข้านวดแผนโบราณ การบำบัดโดยการกดจุด หรือ จะทำง่ายๆ ก็ใช้วิธีออกกำลังกายต่างๆ มาผ่อนคลายกล้ามเนื้อก็ได้ เช่น ขี่จักรยาน เล่นแบดมินตัน เล่นเทนนิส รำมวยจีน บางท่านชอบเข้าชมรมลีลาศก็ไปฝึก หรือบางท่านชอบว่ายน้ำ การว่ายน้ำก็เป็นการผ่อนคลายที่ดีเช่นกัน ถ้าอุปกรณ์ในการเล่นกีฬาไม่มี เดินทางไปไม่สะดวก การผ่อนคลายโดยการเดินเล่นรอบบริเวณบ้าน รดน้ำพรวนดิน ออกแรงเล็กๆ น้อยๆ อาจทำให้ท่านผ่อนคลายกล้ามเนื้อได้     สำหรับการผ่อนคลายทางจิต อาจเป็นเทคนิคที่ยากนิดหน่อย แต่ถ้าท่านทำได้อาการเครียดอาจหายได้เร็วกว่าที่คิด เพราะความเครียดมันเกิดจากภายในแล้วส่งผลออกมาภายนอกร่างกาย การผ่อนคลายทางจิตที่ว่า คือ การฝึกทำสมาธิ โดยการกำหนดลมหายใจเข้า-ออก เพื่อให้เกิดการผ่อนคลายการทำใจให้นิ่งๆ ไม่คิดอะไร คุมให้นิ่งๆ ใช้เวลา 5-10 นาที ให้คิดว่าในโลกนี้ ไม่ใช่เราคนเดียวที่มีความทุกข์ คนอื่นเขาก็ทุกข์เช่นเดียวกับเรา บางคนอาจทุกข์มมากกว่าเสียอีก ดังโคลงสี่สุภาพที่กล่าวว่า
                        “ สิ่งใดในโลกล้วน                               อนิจจัง
                        คงแต่บาปบุญยัง                                  เที่ยงแท้
                        คือเงาติดตัวตรัง                              ตรึงแน่ อยู่นา
                        ตามแต่บุญบาปแล้                               ก่อเกื้อรักษา ”
               ฉะนั้น การฝึกผ่อนคลายจิตอาจใช้หลักของศาสนามานำจิต คิดดี ปฏิบัติดี เท่านี้ ความเครียดก็ไม่เกิด
            3. ฝึกการระบายออก เทคนิคนี้คือการพูดกับใครสักคนที่เราไว้ใจ อาจเป็นพ่อ แม่ ครู อาจารย์ หรือคู่สมรส การระบายเรื่องคับจิตใจออกไปทำให้ความรู้สึกเครียดลดลงไปได้ การพูดคุยเป็นการแลกเปลี่ยนประสบการณ์ เป็นการแชร์ความรู้สึก ดีกว่าที่จะเก็บความทุกข์ไว้คนเดียว
                 การระบายออกมีอีกวิธี คือ อาจใช้วิธีเขียนใส่กระดาษ เขียนออกมาเป็นตัวอักษร เขียนความทุกข์ออกมาให้หมด ก็เป็นวิธีหนึ่งที่ทำให้ความทุกข์บรรเทาได้ บางคนไม่ใช้การเขียนแต่ใช้การวาดรูป ละเลงสีบนแผ่นกระดาษเวลาเกิดความเครียด บางทีคุณอาจได้งานศิลปะชิ้นงามออกมาก็ได้
          4. ฝึกคิดอะไรให้สนุกๆ บ้าง ทำงานก็สนุกกับการทำงานอยากที่จะทำ ขุดดิน อยู่ในไร่ก็เปิดวิทยุฟังเพลง แล้วร้องตามไปด้วยก็ไม่ผิดกฎอะไร   ทำอะไรทำเพราะเราอยากจะทำ งานนั้นๆ สนุกแน่ หรือมีอารมณ์ขันในการทำงานมาก เอาเรื่องเครียดมาเป็นเรื่องตลก ถ้าเผอิญท่านถูกสอบเรื่องใดๆ ก็แล้วแต่ ก็อาจคิดว่าดีเหมือนกัน ประสบการณ์ครั้งหนึ่งในชีวิต ภาษิตยังว่าชั่วเจ็ดที ดีเจ็ดหน เราไม่ดีหนเดียวเราไม่ใช่ผิดจนแก้ไขไม่ได้ เราแก้ไขได้แล้วลุกขึ้นใหม่ วันอันสดใสรอท่านแน่
            5. ฝึกจัดระบบให้ชีวิต การจัดระบบให้ชีวิตควรทำทั้งที่เป็นส่วนตัวและชีวิตการทำงาน การจัดระบบทำงานให้ตัวท่านตรงต่อเวลา มีวินัยและสามารถรับผิดชอบตนเองได้ มีตารางเวลาทำงานแน่นอน การจัดระบบให้ชีวิตไม่ใช่การตีตารางให้ตนเอง แต่เป็นกำหนดและวางแผนวิถีชีวิตให้ดำเนินได้อย่างมีเป้าหมาย มีระบบการทำงานที่ดี มีระบบวิธีการดำเนินในครอบครัวดี มีสัมพันธ์ภาพกับครอบครัวดี ชีวิตก็จะดีตามมาด้วย
ฝึกใช้เทคนิค 8 อ. ได้แก่
.ที่ 1      ได้แก่             อาหารควรให้ครบ 5 หมู่ ไม่กินอย่างใดอย่าง 
                                  หนึ่งซ้ำ ๆกัน
.ที่ 2       ได้แก่             อากาศบริสุทธิ์ สดชื่น จะรู้สึกหายใจเต็มปอด
.ที่ 3       ได้แก่             อนามัย ต้องรักษาความสะอาดทั้งร่างกายและ
                                   จิตใจ
.ที่ 4       ได้แก่             อารมณ์ขัน หัวเราะวันละนิดจิต แจ่มใส
.ที่ 5       ได้แก่             อาบน้ำอุ่นๆ จะทำให้เลือดไหลเวียนทั่วร่างกายดี
.ที่ 6       ได้แก่             ออกกำลังกายวันละนิดจิต แจ่มใส ออกทุกวันๆ ละ
                                   10 นาที
.ที่ 7       ได้แก่             อุจจาระ คือ การขับถ่ายทุกวัน เอาของเสียออก
                                   จากร่างกาย
.ที่ 8       ได้แก่             อดิเรกอะไรที่เป็นงานอดิเรกที่ชอบจงทำ จะเป็น
                                   ปลูกต้นไม้ เลี้ยงสัตว์ เขียนหนังสือ สะสม            
                                   สแตมป์ นอน ฟังเพลง ทำเพลินๆ ลืมเรื่อง
                                   เครียดๆ ได้ พอเครียดๆ ก็จับงานอดิเรกที่ชื่น
                                   ชอบ ท่าจะมีสุขภาพจิตที่ดีแน่
          ข้อสุดท้ายสำหรับนักเครียดทั้งหลาย อาจช่วยท่านได้ แต่คนไทยเรามักไม่ค่อยเอ่ยถึง เพราะหลายท่านคิดว่าเป็นเรื่องน่าอับอาย แต่จริงๆ แล้วเป็นเรื่องธรรมดามาก ได้แก่ การมีเพศสัมพันธ์ ตามปกติคู่สามีภรรยา อาจช่วยให้ท่านคลายความเครียดได้ ซึ่งดีกว่าการไปคลับ บาร์ หรืออาบอบนวด ซึ่งอาจทำให้ท่านติดโรคมาก็เป็นได้
ประโยชน์ของการลดความเครียด
          ถ้าท่านลดความเครียดได้ สิ่งที่จะเกิดกับท่านข้อแรกเลย คือ ท่านก็จะไม่เป็นโรคหัวใจ มีสุขภาพแข็งแรงสมบูรณ์ สุขภาพจิตเข้มแข็ง มองโลกในแง่ดี ความขัดแย้งในใจ ความขัดแย้งกับเพื่อนร่วมงาน ความขัดแย้งกับคนในครอบครัวก็หมดไป มีประสิทธิภาพในการดำเนินชีวิตส่วนตัวได้ดียิ่งขึ้น   ทำกิจกรรมงานใดๆ อย่างมีสติ คุณภาพชีวิตท่านก็ดีขึ้นด้วย ลองมาลดความเครียดด้วยวิธีดังกล่าวกันนะคะ 
ขอขอบคุณข้อมูลการเขียน
ผ.ศ.ศุภวรรณ พันธุ์จันทร์